________
⠀⠀⠀Pride Month ในปี 2024 กำลังจะผ่านพ้น แต่ประวัติศาสตร์แห่งความภาคภูมิใจจะยังถูกบันทึกให้คงอยู่ตลอดไป เมื่อ Pride Month ในปีนี้ ประเทศไทยของเราได้ผ่านร่างกฎหมายสมรสเท่าเทียมเป็นประเทศที่ 3 ในเอเชียและประเทศแรกในอาเซียนที่รับรองการแต่งงานของคนเพศเดียวกันตามกฎหมาย นับเป็นช่วงเวลาแห่งการเฉลิมฉลองสำคัญที่ทุกความรักได้รับการคุ้มครองตามสิทธิที่ประชาชนพึงมี
สิ่งที่เกิดขึ้นในเดือนนี้ สวยงามอย่างที่ควรจะเป็น เราจึงขอส่งท้ายด้วยการพาทุกคนไปย้อนรอยประวัติศาสตร์ของ “สีรุ้งและความเป็นเพศ” กันสักหน่อย ว่ากว่าจะมีเป็นสัญลักษณ์ของการเรียกร้องความเท่าเทียมทางเพศ จนผลิดอกออกผลอันงดงามในวันนี้ “สี” ส่งผลอย่างไรกับ “เพศ” ของมนุษย์เราบ้าง
⠀⠀⠀เรารู้ได้อย่างไรว่าเมื่อไหร่จึงเข้าเดือน Pride Month แล้ว? แน่นอนว่าก็ต้องเพราะเราเริ่มพบเห็นสิ่งหนึ่งได้ทั่วทุกหนแห่ง นั่นคือ “ธงสีรุ้ง” ซึ่งต่อมาก็ได้ถูกนำไปประยุกต์ในรูปแบบต่าง ๆ ทั้งการตัดเย็บเป็นเสื้อผ้า การผลิตเป็นข้าวของเครื่องใช้ หรือแม้แต่การใช้บนสื่อต่าง ๆ เพื่อเป็นสัญลักษณ์ของการแสดงออกถึงการสนับสนุนความหลากหลายทางเพศ ซึ่งแต่ละสีก็มีความหมายที่สื่อถึงการมีชีวิตที่อิสระและทรงพลังในแบบของตัวเอง อาทิ สีแดง หมายถึง ชีวิต สีส้ม หมายถึง การเยียวยา เป็นต้น
ถึงตรงนี้หลายคนอาจตั้งข้อสงสัยว่า “เอ๋ แต่ละสีบนสีรุ้งนั้น ไม่ได้แทนแต่ละเพศหรอกหรือ?” ต้องตอบตามตรงว่า “ไม่ใช่จ้า” ซึ่งก็ไม่ผิดที่จะคิดเช่นนั้น เพราะที่ผ่านมาตั้งแต่เล็กจนโต เราเรียนรู้กันมาโดยตลอดทั้งจากสื่อ สินค้า การเลี้ยงดู และความเชื่อที่ว่า ‘สี’ สามารถใช้แทน ‘เพศ’ ได้ ดังเช่นที่เพศชาย มักถูกแทนด้วยสีฟ้า และเพศหญิง มักถูกแทนด้วยสีชมพู
⠀⠀⠀ก่อนแนวคิดเรื่องสีสำหรับเพศจะแพร่หลายกันอย่างในทุกวันนี้ เมื่อหลายร้อยปีก่อน ‘สี’ ยังไม่มีการแบ่งเพศที่ชัดเจน คนทุกเพศทุกวัยจะสวมเสื้อผ้าสีสันหลากหลาย โดยสิ่งที่มีอำนาจในการกำหนดสีในยุคนั้นไม่ใช่ค่านิยมทางเพศอย่างใด แต่กลับเป็นเรื่องของชนชั้นเสียมากกว่า
เมื่อเข้าศตวรรษที่ 19 ในยุควิคตอเรีย สีของเครื่องแต่งกายเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงตามวัฒนธรรม โดยเด็กผู้หญิงมักจะสวมใส่เสื้อผ้าสีฟ้า เพราะถูกมองว่าเป็นสีที่สื่อถึงความบริสุทธิ์และความสงบสุข ส่วนสีชมพูมักถูกใช้ในเสื้อผ้าของเด็กผู้ชาย เพราะถูกมองว่าเป็นสีเข้มที่แสดงถึงความเข้มแข็งและมีพลัง
ค่านิยมนี้ ถูกใช้เรื่อยมาจนถึงต้นศตวรรษที่ 20 ซึ่งเริ่มมีการเปลี่ยนแนวคิดใหม่จากความต้องการขายสินค้า ให้สีฟ้าเป็นของเด็กผู้ชาย เพราะให้ความรู้สึกที่สงบเหมือนน้ำทะเล และสีชมพูเป็นของเด็กผู้หญิง เพราะเป็นสีโทนอ่อนของสีแดงให้ความรู้สึกอ่อนหวานกว่า และเริ่มเด่นขึ้นในยุคหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่สินค้าสำหรับเด็กถูกแบ่งเป็นสองสีอย่างชัดเจน ‘สีฟ้า = เพศชาย’ และ ‘สีชมพู = เพศหญิง’ โดยไม่มีแตกแถว
สีฟ้าและสีชมพู ก็ได้ใช้เวลานับจากนั้น ในการตั้งตัวเป็นสัญญะที่กำหนดความเป็นเพศอย่างแพร่หลายเรื่อยมา เนิ่นนานฝังรากลึกเสียจนกลายเป็นกรอบทางเพศ และเครื่องมือกดทับผู้ที่มีรสนิยมต่างจากนี้ โดยเฉพาะในผู้ชายที่ชื่นชอบสีชมพู ก็จะถูกล้อเลียนหรือกลั่นแกล้ง ด้วยอคติที่มองว่าสีชมพูต้องเป็นของผู้หญิงเท่านั้น ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้วไม่มีเพศใดหรือผู้ใด ‘เป็นเจ้าของสีชมพู’
⠀⠀⠀ด้วยอำนาจของสีที่เป็นสัญญะในการกำหนดเพศ ทำให้ครั้งหนึ่งสีชมพูเดียวกันนี้เอง ถูกใช้เป็นสัญลักษณ์ในการระบุตัวผู้มีความหลากหลายทางเพศในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 (die-Rosa Wickle) ซึ่งต่อมาถูกนำมาใช้แทนที่ในเชิงการเรียกร้องสิทธิ เพื่อรำลึกถึงสิ่งที่ผู้มีความหลากหลายทางเพศเคยถูกกระทำ
อีกสีหนึ่งที่ขาดไปไม่ได้ คือ “สีม่วง” ซึ่งดำรงต้นในฐานะสีแทนผู้รักเพศเดียวกันมานานนับศตวรรษ ไม่มีใครรู้ที่มาแน่ชัด บ้างก็ว่าเพราะเป็นสีตรงกลางระหว่างสีฟ้าและสีชมพู บ้างก็ว่ามาจากการที่ในสมัยก่อน ผู้รักเพศเดียวกันจะมอบดอกลาเวนเดอร์ซึ่งมีสีม่วงให้กับคนรักเพศเดียวกันของตน ทำให้ต่อมาคำว่า “ลาเวนเดอร์” หรือ “สีม่วง” กลายเป็นคำใช้แทนผู้มีความหลากหลายทางเพศในเชิงลบ รวมถึงในประเทศไทยเราเองที่มีการเรียกกลุ่ม Gay People ว่า “ชาวสีม่วง” เช่นกัน
ก่อนต่อมา หลังเหตุการณ์ความรุนแรงต่อผู้มีความหลากหลายทางเพศที่ Stonewall Inn ในปี 1969 เดือนธันวาคมในปีเดียวกันนั้น ได้มีการออกมาประท้วงครั้งใหญ่ของผู้สนับสนุนความหลากหลายทางเพศที่หน้าตึกทำการของหนังสือพิมพ์ San Francisco Examiner ซึ่งก่อนหน้านี้ได้ลงบทความที่มีลักษณะดูถูกและเหยียดหยามกลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศ
โดยในเหตุการณ์ดังกล่าว ผู้บริหารของ San Francisco Examiner ตอบโต้ผู้ประท้วงโดยการเทหมึกพิมพ์สีม่วงลงมาจากหน้าต่างของสำนักงานใส่กลุ่มผู้ประท้วงที่อยู่ด้านล่าง หวังจะให้พวกเขาเปรอะเปื้อนและอับอาย แต่กลายเป็นว่ากลุ่มผู้ประท้วงได้โต้กลับโดยการป้ายมือสีม่วงไปตามกำแพงและท้องถนน เพื่อแสดงออกถึงการต่อสู้ สีม่วงจึงกลายเป็นสัญลักษณ์ของการเรียกร้องความเท่าเทียมทางเพศนับจากนั้น
⠀⠀⠀การก้าวเข้ามาของสีรุ้งในฐานะสัญญะของการเรียกร้องความเท่าเทียมทางเพศนั้น เริ่มขึ้นในปี 1978 เมื่อ Harvey Milk นักการเมืองและนักเรียกร้องสิทธิผู้มีความหลากหลายทางเพศ ผู้เป็นตัวตั้งตัวตีในการจัดขบวนเรียกร้องความเท่าเทียมทางเพศ ซึ่งต่อมากลายเป็นต้นแบบของขบวน Gay Pride ในการเดินขบวนครั้งนั้น เขาได้จ้างเพื่อนรักอย่าง Gilbert Baker ให้ออกแบบธงสัญลักษณ์ ซึ่งได้ออกมาเป็นธงรุ้งหลากสี
ก่อนต่อมาจะถูกลดทอนลง ด้วยข้อจำกัดของการผลิตต่าง ๆ นานา จนได้ออกมาเป็นธง Pride อย่างที่เราเห็นและใช้โบกสะบัดกันอย่างภาคภูมิใจในปัจจุบัน
สีอาจเป็นสัญญะหนึ่งที่มีอิทธิพลยิ่ง เพราะเป็นสิ่งเด่นชัดที่สุดที่ตาคนเรามองเห็น แต่ไม่ว่าสีนั้นจะมีอำนาจเพียงใด หรือถูกกำหนดให้ผูกโยงกับความเป็นเพศใด ก็อย่าได้ให้ความหมายเหล่านั้นมาครอบงำความเป็นตัวคุณเป็นอันขาด
#CMUSTeP #MakeInnovationSimple #CreativeSTeP #Pride #PrideMonth #สมรสเท่าเทียม