ช่วงการล็อกดาวน์ทั่วโลกในปี ค.ศ. 2020 จากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ได้สร้างปรากฏการณ์ทางสิ่งแวดล้อมที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน นั่นคือ “มหาสมุทรที่เงียบลง” เมื่อการขนส่งทางทะเลและการท่องเที่ยวหยุดชะงัก เสียงรบกวนจากกิจกรรมของมนุษย์ในทะเลลดลงอย่างมีนัยสำคัญ งานวิจัยนานาชาติภายใต้โครงการ International Quiet Ocean Experiment (IQOE) ชี้ว่า การค้าทางทะเลทั่วโลกลดลงราว 4.1% และพลังงานเสียงจากเรือเดินสมุทรลดลงโดยรวมประมาณ 6% เปิดโอกาสให้นักวิทยาศาสตร์ได้ศึกษาผลกระทบของ “เสียง” ต่อสิ่งมีชีวิตในทะเลในสภาวะที่ใกล้เคียงธรรมชาติมากที่สุด
โดยจากข้อมูลพบว่า เมื่อเสียงจากเรือลดลง การสื่อสารของสัตว์ทะเลมีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน ตัวอย่างที่เด่นชัดคืออ่าว Hauraki ประเทศนิวซีแลนด์ ซึ่งระดับเสียงใต้น้ำลดลงเหลือเพียงหนึ่งในสามภายใน 12 ชั่วโมง ส่งผลให้ระยะการสื่อสารของปลาและโลมาเพิ่มขึ้นถึง 65% งานวิจัยจำนวนมากยืนยันว่า เสียงเป็นกลไกหลักของการดำรงชีวิตในทะเล ทั้งการสื่อสาร การหากิน การผสมพันธุ์ และการดูแลลูก โดยเฉพาะสัตว์ทะเลขนาดใหญ่ เช่น วาฬ ที่ใช้คลื่นเสียงเดินทางไกลหลายร้อยหรือหลายพันกิโลเมตร เสียงจากกิจกรรมมนุษย์จึงสามารถรบกวนพฤติกรรมสำคัญเหล่านี้ได้โดยตรง
จากข้อค้นพบนี้เอง ในระยะยาว นักวิทยาศาสตร์เลยเตือนว่าเสียงรบกวนจากมนุษย์ (anthropogenic noise) ที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจากเรือเดินทะเล เรือท่องเที่ยว การก่อสร้าง และโซนาร์ทางทหาร ส่งผลต่อสุขภาพกายและจิตของสัตว์ทะเล ทั้งความเครียดเรื้อรัง การลดประสิทธิภาพการสืบพันธุ์ และพฤติกรรมการเลี้ยงดูลูก อย่างไรก็ตาม ความเข้าใจเรื่องภูมิทัศน์เสียงใต้น้ำยังนำไปสู่การประยุกต์เชิงบวก เช่น การใช้เสียงของแนวปะการังที่สมบูรณ์เพื่อดึงดูดปลาและฟื้นฟูระบบนิเวศที่เสื่อมโทรม บทเรียนจาก “ปีแห่งมหาสมุทรที่เงียบงัน” จึงสะท้อนชัดว่า การจัดการเสียงในทะเลไม่ใช่เรื่องชายขอบทางวิทยาศาสตร์ แต่เป็นประเด็นสำคัญต่อการอนุรักษ์ระบบนิเวศและความยั่งยืนของมหาสมุทรในอนาคต