ทำไมความแค้นถึงอยู่นาน? มาลองเข้าใจในมุมจิตวิทยากัน

จากบทความ The Science of Grievance Collecting ที่เผยแพร่ในเว็บไซต์ Psychology Today ล่าสุด ได้อธิบายว่า มนุษย์มีแนวโน้มทางจิตวิทยาที่เรียกว่า “Negativity bias” คือสมองให้ความสำคัญกับข้อมูลเชิงลบมากกว่าข้อมูลเชิงบวก ส่งผลให้คำดูหมิ่น ความอยุติธรรม หรือเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์ฝังแน่นในความทรงจำ ขณะที่ประสบการณ์เชิงบวกมักเลือนหายได้ง่าย กลไกนี้ทำให้การโทษผู้อื่น การมองโลกในแง่ร้าย และการยึดติดกับความคับข้องใจเกิดขึ้นได้โดยอัตโนมัติ และเป็นเหตุผลว่าทำไม “ความแค้น” หรือ “ความไม่พอใจ” จึงคงอยู่ได้นานกว่าสิ่งดี ๆ ในชีวิต

โดยนักวิชาการเจ้าของบทความดังกล่าวยังได้ชี้ว่า การยึดติดกับความโกรธและการสะสมความคับข้องใจมีความสัมพันธ์อย่างสม่ำเสมอกับผลลบต่อสุขภาพจิตและสุขภาพกาย ไม่ว่าจะเป็นความเครียด ความวิตกกังวล ภาวะซึมเศร้า และการครุ่นคิดซ้ำ ๆ (rumination) งานวิจัยที่อ้างถึงในวารสาร Qualitative Psychology นั้นได้ระบุองค์ประกอบสำคัญของการถือโทษไว้ในใจ ได้แก่ ความต้องการการยืนยันว่าตนถูกกระทำ ความรู้สึกเหนือกว่าทางศีลธรรม การไม่สามารถปล่อยวาง การตัดขาดความสัมพันธ์ และการคาดการณ์อนาคตในเชิงลบ รูปแบบความคิดเหล่านี้มักเกิดเป็นวงจร ทำให้ความรู้สึกโกรธหรือเจ็บปวดแม้จะจางลงตามเวลา แต่สามารถถูกดึงกลับมาสู่จิตสำนึกได้อย่างง่ายดาย

ส่วนในระดับกลไกสมอง มีงานศึกษาที่พบว่าการหมกมุ่นกับความคับข้องใจเกี่ยวข้องกับการทำงานของ ‘default mode network’ ซึ่งเป็นเครือข่ายสมองที่ทำงานมากขึ้นในช่วงพักหรือช่วงที่จิตใจหันเข้าหาตนเอง ส่งเสริมการทบทวนอดีตและการกังวลถึงอนาคตอย่างต่อเนื่อง ผู้เขียนบทความจึงได้เสนอว่า การยอมรับอารมณ์ด้านลบโดยไม่หลีกเลี่ยง การมองความคิดจากระยะห่าง และการฝึกให้อภัย เป็นแนวทางสำคัญในการลดอิทธิพลของวงจรความคิดเชิงโทษ เพราะการให้อภัยไม่เพียงช่วยลดความโกรธและความทุกข์ใจ แต่ยังส่งผลดีต่อความสัมพันธ์ สุขภาพจิต และสุขภาวะโดยรวมของบุคคลในระยะยาวอีกด้วย