นักวิจัยจาก Kennedy Krieger Institute และ Nottingham Trent University ได้พัฒนาเครื่องมือใหม่ในรูปแบบวิดีโอเกมที่ใช้เวลาเพียงหนึ่งนาทีในการวินิจฉัยแยกเด็กที่มีภาวะออทิซึมออกจากเด็กที่มีภาวะสมาธิสั้น (ADHD) หรือเด็กที่มีพัฒนาการทั่วไปได้อย่างแม่นยำ โดยวิดีโอเกมนี้มีชื่อเรียกว่า “Computerized Assessment of Motor Imitation” หรือ CAMI ที่ใช้เทคโนโลยีติดตามการเคลื่อนไหวเพื่อตรวจจับความแตกต่างในทักษะการเลียนแบบการเคลื่อนไหว
โดยจากการศึกษาที่มีเด็กเข้าร่วมกว่า 183 คน อายุระหว่าง 7-13 ปี เด็กแต่ละคนถูกขอให้เลียนแบบการเคลื่อนไหวคล้ายเต้นตามวิดีโออวตารเป็นเวลาหนึ่งนาที ประสิทธิภาพการเลียนแบบของพวกเขาจะถูกวัดโดยใช้ CAMI ผ่านการประมวลผลจนสามารถแยกแยะเด็กที่มีภาวะออทิซึมออกจากเด็กที่มีพัฒนาการทั่วไปได้อย่างถูกต้องถึง 80% และสามารถแยกออทิซึมออกจาก ADHD ได้ด้วยความแม่นยำสูงถึง 70%
นักวิจัยกล่าวว่านี่เป็นความท้าทายครั้งใหญ่ที่พวกเขาดีใจมาก เนื่องจาก ADHD และออทิซึมมักเกิดร่วมกัน และการระบุวินิจฉัยให้ถูกต้องอาจเป็นเรื่องยากที่แม้แต่ผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์ยังปาดเหงื่อ แต่ดร. สจ๊วต มอสทอฟสกี นักประสาทวิทยาเด็กและผู้อำนวยการศูนย์วิจัยพัฒนาการประสาทและการถ่ายภาพที่ Kennedy Krieger Institute และผู้ร่วมเขียนงานวิจัยครั้งนี้ได้ชี้ให้เห็นความสำคัญว่านวัตกรรมใหม่ที่เกิดขึ้นถือเป็นก้าวสำคัญในการวินิจฉัยออทิซึม ที่จะทำให้การวินิจฉัยมีประสิทธิภาพกว่าเดิม
โดยในปัจจุบันการวินิจฉัยออทิซึมมักใช้เวลานาน และต้องการความเชี่ยวชาญเฉพาะทางและมีค่าใช้จ่ายต่อครอบครัวระหว่าง $1,500 - $3,000 ต่อปี ตามที่ U.S. National Library of Medicine ระบุ
ดร. บาฮาร์ ทุนเจนช์ ผู้เขียนหลักของงานวิจัยและผู้เชี่ยวชาญด้านพัฒนาสังคมที่ Nottingham Trent University กล่าวสรุปว่า "ออทิซึมมักจะถูกมองว่าเป็นความบกพร่องทางสังคมและการสื่อสาร แต่ปัจจุบันเรารู้ว่าความยากลำบากในการเลียนแบบการเคลื่อนไหวมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาทักษะสังคมและการสื่อสาร CAMI จึงนำหัวข้อนี้มาแยกแยะออทิซึมได้โดยอาศัยปัจจัยเฉพาะ ดังนั้นสำหรับผม CAMI จึงน่าตื่นเต้นมาก เพราะนวัตกรรมนี้เต็มไปด้วยความเรียบง่าย วิดีโอเกมคือเรื่องสนุกสำหรับเด็กอยู่แล้ว แต่ CAMI ก็สามารถวิเคราะห์ได้อย่างรวดเร็วซึ่งดีต่อผู้เชี่ยวชาญและให้ผลลัพธ์ที่ชัดเจนด้วย”
ในตอนท้ายของรายงานวิจัย ผู้วิจัยยังได้ระบุว่าก้าวต่อไปของ CAMI อาจเป็นไปในรูปแบบของการทำให้สามารถใช้งานกับเด็กที่อายุน้อยกว่า หรือใช้กับผู้ที่มีความบกพร่องทางพัฒนาการที่รุนแรงกว่า เพื่อเปิดโอกาสให้ CAMI สร้างผลกระทบในวงกว้างยิ่งขึ้นนั่นเอง