แย้งความเชื่อ “การสร้างนิสัยใหม่ด้วยกฎ 21 วัน” พบว่าปัจจุบันพบว่าต้องใช้เวลาประมาณ 2 เดือน

เคยได้ยินเกี่ยวกับ "กฎ 21 วัน" ไหม? กฎนี้มักได้รับการอธิบายไว้ว่าหากคุณต้องการสร้างนิสัยใหม่ให้เกิดขึ้นกับตนเอง เพียงแค่ทำสิ่งนั้นอย่างต่อเนื่องติดต่อกัน 21 วัน ก็จะสามารถเปลี่ยนสิ่งที่เคยต้องบังคับตัวเองทำ เป็นนิสัยใหม่ที่ทำได้อย่างเป็นธรรมชาติ โดยแนวคิดนี้ได้รับการพูดถึงอย่างกว้างขวางและมีผู้คนนำไปใช้ไม่น้อยเลยในช่วงหลายปีที่ผ่านมา


แต่ดูเหมือนกรอบแนวคิดนี้จะได้รับการท้าทายแล้ว จากการศึกษาล่าสุดโดยมหาวิทยาลัยเซาท์ออสเตรเลียที่นำเสนอแนวคิดที่เปลี่ยนแปลงไปจากความเชื่อเดิม


เพราะการศึกษาดังกล่าว พบว่าการเริ่มต้นสร้างนิสัยใหม่อาจเกิดขึ้นได้โดยต้องใช้ช่วงเวลาประมาณสองเดือน หรือเฉลี่ย 59-66 วัน แต่ถ้าหากต้องการให้นิสัยนั้นคงอยู่และมั่นคงถาวร มนุษย์คนหนึ่งที่อยากสร้างนิสัยใหม่ให้กับตัวเองอาจต้องใช้เวลานานถึง 335 วันเลยทีเดียว ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่นานกว่าที่เคยเชื่อกันไว้ถึงสิบเท่า


ดร. เบน ซิงห์ ผู้วิจัยหลักของการศึกษาครั้งนี้อธิบายว่า "การสร้างนิสัยที่ดีเป็นพื้นฐานสำคัญสำหรับความเป็นอยู่ที่ดีในระยะยาว แต่อาจเป็นเรื่องท้าทายมากกว่าที่หลายคนคิด" โดยเขาเล่าว่าหลายคนมักเริ่มต้นปีด้วยเป้าหมายที่ดี เช่น การออกกำลังกายสม่ำเสมอหรือการเลือกอาหารสุขภาพ แต่เนื่องจากขาดข้อมูลที่ถูกต้อง หลายคนจึงยึดถือแนวคิด 21 วันเป็นหลัก ซึ่งไม่ได้มีหลักฐานเชิงวิทยาศาสตร์รองรับ การศึกษานี้จึงมุ่งเน้นไปที่การหาคำตอบที่มีข้อมูลเชิงประจักษ์ ผ่านผู้เข้าร่วมการศึกษากว่า 2,600 คน เพื่อทำให้ได้ภาพรวมที่หลากหลายจนกลายเป็นผลลัพธ์ใหม่


นอกจากนี้ จากการศึกษายังพบด้วยว่าปัจจัยที่ส่งผลต่อความสำเร็จในการสร้างนิสัยใหม่นั้นมีหลายประการ เช่น ความถี่ในการทำกิจกรรม การเลือกเวลาทำที่เหมาะสม และความรู้สึกสนุกสนานที่มีต่อกิจกรรม ยกตัวอย่างการวางแผนเสริมกิจกรรมใหม่ให้เข้ากับกิจวัตรประจำในช่วงเช้าก็ตะเพิ่มโอกาสความสำเร็จในการสร้างนิสัยที่ยั่งยืนได้


แต่นอกเหนือจากการสร้างนิสัยใหม่แล้ว การศึกษานี้ยังมุ่งหวังที่จะสร้างผลกระทบในวงกว้างต่อแนวทางในการส่งเสริมพฤติกรรมสุขภาพที่ดีและการป้องกันโรคเรื้อรังในออสเตรเลียด้วย ที่โรคเรื้อรังอย่างเบาหวาน หัวใจ โรคปอด และโรคหลอดเลือดสมองสามารถป้องกันได้ด้วยการเปลี่ยนนิสัยและพฤติกรรมที่ดี จึงนับว่าเป็นก้าวสำคัญที่ไม่เพียงแต่จะช่วยให้ประชาชนมีสุขภาพที่ดี แต่ยังยืดอายุขัย ทำให้การพัฒนาวิถีชีวิตที่ดีขึ้นกลายเป็นเรื่องสำคัญที่ทุกคนควรให้ความสำคัญและลงมือปฏิบัติอย่างจริงจัง