“อายุไม่ถึงเดือนเลย มีงานวิจัยแล้ว” ส่องโลกวิจัยว่าพูดถึงเจนเบต้าอย่างไร?

ถ้ามองอย่างผิวเผิน ความเคลื่อนไหวในโลกออนไลน์ช่วงอาทิตย์อาจเป็นเรื่องน่าอมยิ้มอยู่เหมือนกัน เพราะเด็กที่เพิ่งเกิดในปีนี้ที่ถูกจัดให้อยู่ใน “Gen Beta” กลายเป็นเรื่องที่หลายคนเริ่มหยิบมาแซวกัน


แต่ถ้ามองให้ลึกลงไปกว่านั้น ปรากฏการณ์ในโลกออนไลน์ที่ว่าก็สะท้อนถึงความสนใจและความใคร่รู้ได้อยู่เหมือนกัน ว่าในปัจจุบัน คนตื่นรู้เรื่องบริบทของเจเนอเรชั่นมากขึ้น อย่าง Gen Beta ก็ได้รับการพูดถึงในฐานะเจเนอเรชั่นแรกที่เกิดมาแล้วไม่เคยสัมผัส “โลกที่ไม่มี AI” กล่าวคือเจเนอเรชั่นนี้จะรู้จัก AI ราวกับคนยุคก่อนรู้จักไฟฟ้าหรืออินเทอร์เน็ต ปัญญาประดิษฐ์จะเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตและเป็นองค์ประกอบหนึ่งที่มีส่วนร่วมในการเติบโตของพวกเขาอย่างแน่นอน


แต่นอกเหนือจากประเด็นเหล่านั้นที่เป็นกระแสให้พูดถึงกัน รู้ไหมว่าในโลกงานวิจัย Gen Beta กลับไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่ เพราะว่ากันตามจริง ถ้าลองสังเกตุดูการพูดถึง Gen Beta ที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่ออาทิตย์ก่อน เราจะพบว่าหลายการพูดถึงมีงานวิจัยมารองรับแล้วทั้งนั้น สาเหตุเพราะในโลกงานวิจัย การทำนายและศึกษาถึง Gen Beta ได้เกิดขึ้นอยู่บ้างเพื่อรองรับโลกและประชากรในอนาคต ดังนั้นในวันนี้ เราเลยอยากชวนทุกคนไปสำรวจงานวิจัยที่น่าสนใจที่ชื่อ “Generation Beta: Redefining Life, Longevity, and Retirement” ว่าในแง่ของการศึกษา ปัจจุบัน Gen Beta ถูกพูดถึงในโลกงานวิจัยอย่างไรบ้างแล้ว


โดยในรายงานการศึกษาข้างต้น บรรยายว่า Gen Beta คือเด็กที่เกิดระหว่างปี 2025-2039 และจากการสำรวจแนวโน้มในเรื่องต่างๆ พบข้อมูลที่น่าสนใจมากมาย เช่นมีแนวโน้มถึง 86% ที่ Gen Beta จะได้ทำงานที่ “ยังไม่ถูกคิดค้นขึ้นในปัจจุบัน” ด้วยซ้ำและมีแนวโน้มถึง 68% ที่พวกเขาจะเลือกมีสัตว์เลี้ยงมากกว่ามีลูก


นอกเหนือจากนั้น ในเรื่องของการเงินยังมีการคาดการณ์ด้วยว่ามีโอกาสถึง 60% ที่รัฐบาลในยุคที่ Gen Beta เติบโตมาจะหยุดการพิมพ์เงินสดถาวรแล้ว เพราะ Gen Beta จะไม่เลือกใช้เงินสดอีกต่อไป อีกทั้งยังมีการคาดการณ์ว่า Gen Beta จะมีอายุยืนยาวขึ้นกว่าเดิมด้วย เพราะโรคมะเร็งอาจถูกค้นพบวิธีรักษาได้ในช่วงเวลาของเจนนี้


และแน่นอน ที่สำคัญที่สุดคือเทคโนโลยีและ AI ที่จะเข้ามีบทบาทสำคัญในชีวิตของ Gen Beta อย่างสูง เช่นมีโอกาสเป็นไปได้มากๆ ว่า AI จะแทนที่ครูในโรงเรียนในทุกมิติ รวมถึงเรื่องที่ตอนนี้ดูไกลจากความเป็นจริงมากๆ อย่างการท่องอวกาศก็อาจกลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมใน Gen Beta แล้ว


แต่นอกเหนือจากเรื่องดีๆ ล่ะ มีเรื่องอะไรที่ควรกังวลบ้าง? ในงานวิจัยเดียวกันยังเกริ่นถึงเรื่องนี้ด้วยว่า Gen Beta อาจต้องเผชิญกับอนาคตที่ซับซ้อนแตกต่างจากปัจจุบันอย่างมาก ไม่ว่าจะในแง่ของสภาพแวดล้อมและผลกระทบต่อร่างกายและจิตใจ งานวิจัยจึงแนะนำให้ผู้ปกครองควรให้ความสำคัญกับการสอน “ทักษะที่ใช้ได้จริงในยุคสมัย” รวมถึงการปลูกฝังค่านิยมเช่น ความเห็นอกเห็นใจ การใช้จินตนาการ และการเรียนรู้เกี่ยวกับเทคโนโลยี เพื่อให้เด็กเติบโตไปอย่างราบรื่นมากที่สุด


โดยนี่เป็นเพียงงานวิจัยเดียวเท่านั้น คาดว่ามีงานวิจัยเกี่ยวกับ Gen Beta จะเกิดขึ้นอีกมากในปัจจุบันและอนาคต เพื่อรองรับประชากรใหม่ที่มีความสำคัญต่อโลก ดังนั้นถึงแม้เราจะอยู่ในเจเนอเรชั่นที่แตกต่าง แต่การทำความเข้าใจซึ่งกันและกันก็เป็นสิ่งสำคัญ เพราะจะช่วยสร้างความสัมพันธ์ที่ดีและช่วยให้ทุกเจเนอเรชั่นสามารถอยู่ร่วมกันได้ อีกทั้งในอนาคตเมื่อ Gen Beta เติบโตขึ้น โลกจะมีการเปลี่ยนแปลงอย่างแน่นอน การร่วมสังเกตุการณ์ว่าพวกเขาจะมีบทบาทในการเปลี่ยนแปลงโลกใบนี้ไปในทิศทางใด ก็เป็นสิ่งที่น่าสนใจและน่าจับตาดูอย่างยิ่ง


ไม่แน่นะ ถึงวันนั้น Gen Beta อาจกลายเป็นผู้ที่แก้ปัญหาสำคัญของโลกที่ในปัจจุบันยังไม่มีใครแก้ได้ก็ได้ ใครจะรู้