งานวิจัยพบ คนที่เคยเฉียดตาย จะมี Empathy ต่อผู้อื่นมากขึ้น โดยสัมพันธ์กับการสลายอัตตาหลังผ่านเหตุการณ์

แม้อาจมีปริมาณน้อย แต่ผลงานวิจัยล่าสุดได้พบข้อสังเกตุที่น่าสนใจเกี่ยวกับคนที่เคยผ่านประสบการณ์เฉียดตาย (Near-Death Experiences: NDEs) นั่นคือผลกระทบจากเหตุการณ์นั้น อาจส่งผลให้ผู้คนมีความสามารถในการแสดงออกถึงความเข้าอกเข้าใจหรือ Empathy และเชื่อมต่อกับผู้อื่นในแบบที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น


งานวิจัยนี้มาจากคณะนักวิจัยจาก University of Virginia School of Medicine นำโดย Marina Weiler นักวิชาการชั้นนำ ที่ได้นำเสนอแนวคิดที่น่าสนใจเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างสภาวะการรับรู้ที่เปลี่ยนแปลงไปจากประสบการณ์เฉียดตายและความเข้าอกเข้าใจ โดยเขาได้ชี้ว่าตัวแปรกหลักในความสัมพันธ์นี้ น่าจะมาจากสิ่งที่เรียกว่า "การละลายอัตตา (Ego dissolution)”


โดยวีลเลอร์ได้อธิบายว่าเมื่อบุคคลใกล้เคียงกับประสบการณ์เฉียดตาย ผลกระทบที่เกิดกับคนเหล่านั้นคือพวกเขาจะได้สัมผัสความรู้สึกว่า ‘ตัวตน’ ได้ถูกแยกออกจากรูปกายทางกายภาพแล้ว ประสบการณ์ตรงนี้เองที่ผู้วิจัยเชื่อว่าเปรียบเสมือนการได้ลองสูญเสียอัตตาทางอ้อม ทำให้ตัวตนใหม่ที่เกิดขึ้นหลังจากผ่านเหตุการณ์ทั้งหมด คนผู้นั้นจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป


ซึ่งงานวิจัยได้ระบุว่าการแยกตัวจากร่างกายทางกายภาพนี้เอง ที่มักนำไปสู่ความรู้สึกเชื่อมโยงกับชีวิตทั้งหมดและเชื่อมโยงทางอารมณ์อย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้นกับผู้อื่น ทำให้สามารถเปลี่ยนแปลงวิธีการมองโลกของบุคคลและส่งเสริมความเข้าอกเข้าใจที่มากขึ้นได้ และสามารถส่งผลต่อเนื่องสู่ความสัมพันธ์ส่วนบุคคลและความกลมเกลียวทางสังคมที่มากขึ้นด้วย


อีกทั้งจากงานวิจัยนี้ ผู้วิจัยยังได้ไปทำการสัมภาษณ์คนที่ผ่านเหตุการณ์ดังกล่าวมาจำนวนหนึ่ง จนได้พบว่าหลายคนประเมินตัวเองหลังผ่านเหตุการณ์ร้ายๆ ว่ามีความเห็นอกเห็นใจมากขึ้น อดทนมากขึ้น และเข้าใจผู้อื่นมากขึ้น โดยมากกว่าครึ่งในหนึ่งการศึกษาอธิบายว่าความสัมพันธ์ของพวกเขากับผู้อื่นกลายเป็นสิ่งที่สงบและกลมเกลียว


โดยในตอนท้ายงานวิจัย วีลเลอร์และผู้ร่วมวิจัยได้สำรวจคำอธิบายเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นภายในสมองที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ด้วย แต่ยังไม่พบกระบวนการภายในสมองที่เด่นชัด แต่ถึงกระนั้น นักวิจัยก็ได้สรุปว่าผลการศึกษานี้อาจสามารถนำไปพัฒนาวิธีการที่จะช่วยส่งเสริมประโยชน์ทางสังคมในยุคที่มีความขัดแย้งได้ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง