พารู้จัก 5 เทคโนโลยีทางประสาทสัมผัส ที่สามารถใช้เพิ่มประสิทธิภาพคลังสินค้าสำหรับธุรกิจต่างๆ มาดูกันว่าเราจะพลิกแพลงเทคโนโลยีเหล่านี้เพื่อใช้กับธุรกิจเราได้อย่างไรบ้าง

พารู้จัก 5 เทคโนโลยีทางประสาทสัมผัส ที่สามารถใช้เพิ่มประสิทธิภาพคลังสินค้าสำหรับธุรกิจต่างๆ

มาดูกันว่าเราจะพลิกแพลงเทคโนโลยีเหล่านี้เพื่อใช้กับธุรกิจเราได้อย่างไรบ้าง


1. RFID : เซ็นเซอร์สำหรับคลังสินค้าอัจฉริยะ

โดย RFID มีลักษณะเป็นป้ายอิเล็กทรอนิกส์ (RFID Tag) ที่สามารถอ่านค่าได้โดยผ่านคลื่นวิทยุ เพื่อตรวจสอบ ติดตามและบันทึกข้อมูลที่ติดอยู่กับป้ายนั่นเอง ซึ่งจะนำไปฝังไว้ในหรือติดอยู่กับวัตถุต่างๆ เช่น ผลิตภัณฑ์ กล่อง สิ่งของ ซึ่งสามารถติดตามข้อมูลของวัตถุว่า คืออะไร ผลิตที่ไหน ใครเป็นผู้ผลิต ผลิตอย่างไร ผลิตวันไหน และเมื่อไร ประกอบไปด้วยชิ้นส่วนกี่ชิ้น และแต่ละชิ้นมาจากที่ไหน รวมทั้งตำแหน่งที่ตั้งของวัตถุนั้นๆ ต่างจากบาร์โค้ด พนักงานสามารถติดตาม ติดตาม และสินค้าคงคลังสินทรัพย์ได้จากทุกที่แบบเรียลไทม์ โดยใช้อุปกรณ์แฮนด์ฟรี

2. Machine vision : ดวงตาสำหรับคลังสินค้าอัจฉริยะ

ดวงตาอัจฉริยะ เป็นหนึ่งใน เทคโนโลยี Internet of Things (IoT) เชิงอุตสาหกรรมที่น่าตื่นเต้นที่สุดที่จะปฏิวัติการดำเนินงานของห่วงโซ่อุปทาน ผู้เชี่ยวชาญคาดการณ์ว่าตลาดเครื่องจักที่มีระบบดวงตาอัจฉริยะจะขยายตัวที่อัตราการเติบโตต่อปี ที่ 7.2% ตลอดระยะเวลาคาดการณ์ห้าปี (2023–2030 Machine vision  ที่เข้ามาแทนที่ดวงตาของมนุษย์ด้วยกระบวนการให้หุ่นยนต์และคอมพิวเตอร์สามารถรับรู้และตีความสภาพแวดล้อมด้วยสายตา โดยใช้เทคนิคการถ่ายภาพขั้นสูง เช่น กล้อง เซ็นเซอร์ และอัลกอริธึม การประมวลผลภาพ เลียนแบบความสามารถของการมองเห็นของมนุษย์ ซึ่งหมายความว่าเครื่องจักรจะสามารถทำงานตรวจสอบหรือวิเคราะห์ด้วยภาพ ดึงข้อมูลที่มีความหมายจากรูปภาพหรือสตรีมวิดีโอ และใช้ข้อมูลดังกล่าวในการตัดสินใจอย่างชาญฉลาด

3. Voice-directed warehousing : คลังสินค้าสั่งการด้วยเสียง

ปัจจุบันการสั่งการด้วยเสียงสามารถแก้ปัญหาต่างๆ ในห่วงโซ่อุปทานเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและทำให้กระบวนการเป็นแบบอัตโนมัติ เช่น การบรรจุและการรวมสินค้า การเติมสินค้าและการบรรจุระยะสั้น การบรรทุกและขนส่งรถบรรทุก การเทียบท่าข้ามสาย บอกทิศทางให้กับพนักงานในการหาตำแหน่ง จำนวน และสถานที่จัดเก็บสิ่งของต่างๆ ภายในคลังสินค้า โดยสามารถส่งข้อความเสียงเพื่อให้อุปกรณ์รายงานผลได้ทันทีผ่านหูฟัง หลังจากที่ได้มีการเชื่อมต่อกับซอฟต์แวร์ ซึ่งทำให้ผู้ใช้งานทราบถึงรายการสิ่งของในคลังสินค้าได้แบบเรียลไทม์มีการคาดการณ์ว่าคลังสินค้า 45% จะใช้เทคโนโลยีนี้ในอีกสองปีข้างหน้า

4. หุ่นยนต์เคลื่อนที่อัตโนมัติ : งานนหนักสำหรับคลังสินค้าอัจฉริยะ

โลกของหุ่นยนต์และหุ่นยนต์เคลื่อนที่อัตโนมัติ (AMR) เป็นประเด็นร้อนในภาคการขนส่งในขณะนี้ โดยขนาดตลาด AMR คาดว่าจะสูงถึง 22.15 พันล้านดอลลาร์ภายในปี 2573 จึงไม่น่าแปลกใจที่ประสิทธิภาพด้าน AMR นำมาสู่คลังสินค้าอัจฉริยะ ซึ่งจะส่งผลต่อต้นทุนแรงงานที่ลดลง ประสิทธิภาพการทำงานของพนักงานที่เพิ่มขึ้น ความแม่นยำที่ดีขึ้น และความสามารถในการขยายตลาด ปัจจุบันมีเทคโนโลยี AMR ให้เลือกหลากหลายรูปแบบ เช่น AMR ของ Goods to Man  หุ่นยนต์เคลื่อนที่อัตโนมัติที่ช่วยลดระยะเวลาการเดินของผู้ปฏิบัติงาน ซึ่งสามารถให้ผลผลิตที่สูงมากสำหรับการขนย้ายสินค้า

5. เทคโนโลยีที่ขับเคลื่อนด้วย AI : การวิเคราะห์อัจฉริยะสำหรับคลังสินค้า

เทคโนโลยีที่ขับเคลื่อนด้วย AI สามารถเปลี่ยนโฉมคลังสินค้าได้หลายวิธี และเพิ่มความสามารถด้านการรับรู้ของชุดเทคโนโลยีเต็มรูปแบบในคลังสินค้า เช่น เทคโนโลยีการมองเห็นด้วยกล้องอันชาญฉลาดเสริมAI เพื่อให้ข้อมูลภาพที่แม่นยำและความเร็วที่ โดย AI จะใช้การตัดสินใจที่ซับซ้อน ปรับใช้ เรียนรู้ และตัดสินใจอย่างชาญฉลาด อัลกอริธึม AI ยังช่วยให้เครื่องจักรสามารถเรียนรู้ได้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งหมายความว่าประสิทธิภาพของเครื่องจักรจะดีขึ้นอย่างต่อเนื่องเมื่อเวลาผ่านไป หรือ การวิเคราะห์ต่างด้วย AI การบำรุงรักษาแบบคาดการณ์ การติดตามแบบเรียลไทม์ และระบบควบคุมสภาพอากาศอัจฉริยะ 

โดยรวมแล้วเทคโนโลยีเหล่านี้ช่วยกระตุ้นการเติบโตและผลตอบแทน ด้วยคุณประโยชน์ด้านประสิทธิภาพการทำงาน ความปลอดภัย และความยั่งยืนมากมาย


 ขอบคุณภาพและข้อมูลจาก:  https://shorturl.at/gLNZ5

#CMUSTeP #MakeInnovationSimple #STePInnoNews #newsupdate