>


ชวนรู้จัก Deep Tech Startup
2023-03-27

 

โดยทั่วไปแล้ว Tech Startup ที่เราเห็นหรือใช้งานกันอยู่ในตลาดนั้น จะเป็นธุรกิจในรูปแบบของแพลตฟอร์ม ซึ่งเป็นการนำเอาเทคโนโลยีที่มีอยู่แล้วมาประยุกต์เข้ากับไอเดียการแก้ปัญหาใหม่ ๆ เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค ตัวอย่างเช่น คนยุคใหม่อยากดูหนังแต่ไม่อยากออกจากบ้าน จึงสร้างเป็นแพลตฟอร์มสตรีมมิ่งสำหรับการรับชมสื่อบันเทิงขึ้นมา หรือคนส่วนใหญ่เจอปัญหาความไม่สะดวกในการเรียกรถโดยสารหรือการซื้ออาหาร ก็สร้างแพลตฟอร์มสำหรับการเรียกรถแท็กซี่หรือฟู้ดเดลิเวอรี่ขึ้นมารองรับ เป็นต้น

ซึ่งแม้ว่า Tech Startup จะสามารถตอบโจทย์ของตลาดได้จริง แต่สิ่งหนึ่งที่น่ากังวลคือ เทคโนโลยีที่นำมาใช้ในธุรกิจ เป็นสิ่งที่สามารถลอกเลียนแบบได้ ทำให้เกิดคู่แข่งในตลาดค่อนข้างมาก นั่นทำให้วงการธุรกิจ Startup เริ่มขยับความสนใจมาที่การเป็น “Deep Tech Startup” มากขึ้น

► แล้ว Deep Tech Startup คืออะไรกัน?
⠀⠀⠀Deep Tech ที่ว่านี้่มาจากคำว่า Deep Technology สามารถแปลได้ทั้ง “เทคโนโลยีขั้นสูง” หรือ “เทคโนโลยีเชิงลึก” ซึ่งหมายถึงเทคโนโลยีที่มีความซับซ้อน ผ่านการค้นคว้าวิจัยอย่างลงลึก โดยมักเกิดจากการผสมผสานเทคโนโลยีที่หลากหลายเข้าด้วยกัน จนสามารถสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่เป็นของตัวเอง ที่ลอกเลียนแบบได้ยาก และเป็นทรัพย์สินทางปัญญาที่มีสิทธิบัตรคุ้มครอง
      Deep Tech Startup จึงหมายถึง ธุรกิจ Startup ที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูงเหล่านี้ มาพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์หรือ Solution เพื่อแก้ไขปัญหาที่เทคโนโลยีที่มีอยู่ในปัจจุบันยังแก้ไม่ได้ จึงเป็นธุรกิจที่ก้าวข้ามขีดจำกัดของตลาดเดิม และสามารถสร้างตลาดใหม่เป็นของตัวเอง

ยกตัวอย่างความสำเร็จของ Deep Tech Startup ที่เราเห็นกันชัด ๆ อย่าง Moderna ซึ่งเป็นบริษัทที่ทำในเรื่องของเทคโนโลยีชีวภาพ (Biotechnology) ที่สามารถพัฒนาวัคซีนโควิด-19 ขึ้นมาได้ หรืออย่าง SpaceX  ที่เรารู้จักกันดีในฐานะแนวหน้าด้านเทคโนโลยีทางอวกาศ (Space Technology) ซึ่งมีแนวโน้มจะพามนุษย์ขึ้นไปเหยียบดาวอังคารได้จริงในไม่ช้า เรียกว่าแต่ละธุรกิจนับเป็นความสำเร็จในระดับมนุษยชาติเลยทีเดียว และเชื่อว่าหลายคนคงมีคำถามตามมา ว่า

► แล้วอะไรที่ทำให้ Deep Tech Startup ประสบความสำเร็จ?
⠀⠀⠀จากข้อมูลที่เผยแพร่โดย Boston Consulting Group (BCG) บริษัทที่ปรึกษาด้านการจัดการระดับโลก ระบุว่า Deep Tech Startup ที่ประสบความสำเร็จส่วนใหญ่ มักจะมีองค์ประกอบร่วมกัน 4 ข้อ ได้แก่
⇒  ตั้งเป้าในการแก้ไขปัญหาของโลก — Deep Tech Startup จะเลือกแก้ไขในเรื่องที่เป็นปัญหาเร่งด่วนจริง ๆ อาทิ ปัญหาภาวะโลกร้อน ปัญหาการขาดแคลนอาหารหรือพลังงาน รวมไปถึงการขาดแคลนแรงงาน ซึ่งสิ่งเหล่านี้ต้องการเทคโนโลยีขั้นสูงมาจัดการ
⇒   สินค้าจับต้องได้ — กลุ่ม Deep Tech Startup มักพัฒนาสินค้าที่ผู้คนสามารถเห็นภาพจับต้องใช้งานได้ มากกว่าสินค้าประเภท Software
⇒   ไร้คู่แข่ง — พบว่า 96% ของ Deep Tech Startup จะใช้เทคโนโลยีอย่างน้อย 2 อย่างเชื่อมโยงกันในการพัฒนาผลิตภัณฑ์หรือ Solution ทำให้เลียนแบบได้ยาก ส่วนใหญ่จึงกลายเป็นเจ้าเดียวในตลาด
⇒   เป็นศูนย์กลางของเทคโนโลยีขั้นสูงในระบบนิเวศของตนเอง — ด้วย Deep Tech Startup มักเกิดขึ้นจากอาจารย์และนักวิจัยเก่ง ๆ จับมือกันต่อยอดความรู้ความสามารถที่มี พัฒนาเป็นนวัตกรรมใหม่ขึ้นมา ทำให้องค์ความรู้และความเชี่ยวชาญในด้านนั้น ๆ จึงถูกรวมอยู่ในที่เดียวกัน

⠀⠀⠀มาถึงตรงนี้ เรียกได้เต็มปากเลยว่าเป็นสตาร์อัพสายโหดจริง ๆ สำหรับ Deep Tech Startup ที่กว่าจะปั้นขึ้นมาได้หนึ่งธุรกิจ ต้องอาศัยความรู้และความสามารถในการทำวิจัย ไปจนถึงการสร้างนวัตกรรมขึ้นมาเป็นของตัวเอง ซึ่งสิ่งเหล่านี้ต้องแลกมาด้วยฐานความรู้ที่แน่นในระดับเชี่ยวชาญ เงินทุนจำนวนมาก และระยะเวลาในการวิจัยพัฒนาสินค้า
       
       แต่ถ้าหากเมื่อไหร่ที่ธุรกิจ Deep Tech Startup ประสบความสำเร็จ จะมีศักยภาพมากพอที่สามารถเปลี่ยนแปลงโลก ทั้งในด้านวิถีชีวิตของผู้คน และโครงสร้างเศรษฐกิจของประเทศในระดับที่ไม่สามารถหวนกลับไปเป็นเหมือนเดิมได้เลยทีเดียว และนี่คือทั้งหมดที่เรานำมาฝากกัน yessmiley